วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดนตรี

ดนตรี คือ อะไร


         ดนตรีเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาพร้อม ๆ กับชีวิตมนุษย์โดยที่มนุษย์เองไม่รู้ตัว ดนตรีเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีความสุข สนุกสนานรื่นเริง ช่วยผ่อนคลายความเครียดทั้งทางตรงและทางอ้อม ดนตรีเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจของมนุษย์ให้มีความเบิกบานหรรษาให้เกิดความสงบและพักผ่อน กล่าวคือในการดำรงชีพของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายดนตรีมีความเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจสืบเนื่องมาจากความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ โดยตรงหรืออาจเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงประกอบในการทำงาน เพลงที่เกี่ยวข้องในงานพิธีการ เพลงสวดถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น

ดนตรีเป็นศิลปะที่อาศัยเสียงเพื่อเป็นสื่อในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ไปสู่ ผู้ฟังเป็นศิลปะที่ง่ายต่อการสัมผัส ก่อให้เกิดความสุข ความปลื้มปิติพึงพอใจให้แก่มนุษย์ได้ นอกจากนี้ได้มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ดนตรีเป็นภาษาสากลของมนุษยชาติ เกิดขึ้นจากธรรมชาติและมนุษย์ได้นำมาดัดแปลงแก้ไขให้ประณีตงดงามไพเราะเมื่อฟังดนตรีแล้วทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ” นั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราได้ทราบว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดภาษาใดก็สามารถรับรู้อรรถรสของดนตรีได้โดยใช้เสียงเป็นสื่อได้เหมือนกัน

มีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่า ดนตรีคืออะไร” แล้ว ทำไมต้องมีดนตรี” คำว่า ดนตรี” ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่า เสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลง เครื่องบรรเลงซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเกิดอารมณ์รัก โศกหรือรื่นเริง” จากความหมายข้างต้นจึงทำให้เราได้ทราบคำตอบที่ว่าทำไมต้องมีดนตรีก็เพราะว่าดนตรีช่วยทำให้มนุษย์เรารู้สึกเพลิดเพลินได้

คำว่า ดนตรี” มีความหมายที่กว้างและหลากหลายมากนอกจากนี้ยังมีการนำดนตรีไปใช้ประกอบในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคยเช่น การใช้ประกอบในภาพยนต์ เนื่องจากดนตรีนั้นสามารถนำไปเป็นพื้นฐานในการสร้างอารมณ์ลักษณะต่าง ๆ ของแต่ละฉากได้ พิธีกรรมทางศาสนาก็มีการนำดนตรีเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยจึงทำให้มีความขลัง ความน่าเชื่อถือ ความศรัทธา มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ดนตรีบางประเภทถูกนำไปใช้ในการเผยแพร่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มคนหรือเชื้อชาติ บางครั้งมนุษย์เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการแยกประเภทของมนุษย์ออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น วัยรุ่นในเมืองก็จะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะหรือทำนองสนุก ๆ ครื้นเครงความรักหวานซึ้งส่วนวัยรุ่นที่อยู่ในชนบทก็มักจะชอบฟังประเภทเพลงเพื่อชีวิต เพลงลูกทุ่ง วัยหนุ่มสาวก็ชอบเพลงทำนองอ่อนหวานที่เกี่ยวกับความรัก สำหรับผู้ใหญ่ก็มักจะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะหรือทำนองที่ฟังสบาย ๆ และชอบฟังเพลงที่คุ้นเคย

มนุษย์เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องกระตุ้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการขับรถ การเรียน การวิ่งเหยาะ ๆ ออกกำลังกาย เป็นต้น ที่กล่าวมาข้างต้นการใช้ดนตรีเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบในการทำร่วมกับกิจกรรมนั้น ๆส่วนจุดมุ่งหมายอื่นๆเป็นเรื่องรองลงมา

ก่อนที่จะมาเป็นดนตรีให้เราได้ยินได้ฟังกันจนกระทั่งปัจจุบันนี้มนุษย์ได้คิด ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาแล้วไม่น้อยกว่าพันปีดังนั้นดนตรีจึงถือได้เป็นสิ่งที่มีมาคู่กับมนุษย์เลยก็ว่าได้

มีดนตรีชนิดหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งต้องใช้สติปัญญาสมาธิ ความตั้งใจในการฟังดนตรีชนิดนี้เรียกว่า ดนตรีคลาสสิก” (Classical Music) ส่วนใหญ่มนุษย์ฟังดนตรีประเภทนี้ฟังเพราะความพอใจและความรู้สึกสนุกสนานในการฟังไม่มีเหตุผลหรือจุดมุ่งหมายใด ๆ

มนุษย์จำนวนมากไม่เข้าใจว่าดนตรีสำคัญอย่างไร ดนตรีจะมีค่าได้อย่างไรในเมื่อเราไม่สามารถใช้มันเพื่อทำอะไรได้เลยเพราะดนตรีเป็นการสื่อในลักษณะของนามธรรม โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เราเข้าใจว่าสิ่งของส่วนใหญ่สำคัญเพราะเราจำเป็นต้องใช้มันในลักษณะของรูปธรรม แต่สำหรับดนตรีและงานศิลป์อื่น ๆ เช่น ภาพเขียน รูปปั้น ประติมากรรม บทกวี วรรณคดี ฯลฯ มีเพียงกลุ่มคนที่สนใจจริง ๆ เท่านั้นที่จะเข้าใจและซาบซึ้ง เพราะความสำคัญของสิ่งเหล่านั้นเป็นไปในแง่ของจิตวิทยา ไม่ใช่ในแง่ของการปฏิบัติ

เพราะเหตุใดมนุษย์เราจึงต้องสร้างสิ่งดังกล่าวขึ้นมาซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น การประเมินคุณค่าจำเป็นต้องใช้สติปัญญาและความพอใจของคนคนนั้นจึงจะรู้คุณค่า นอกจากนี้ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าความพอใจมีมาตรฐานของการวัดอย่างไร ถึงแม้ว่าจะมีทฤษฎีที่น่าสนใจมากมายสำหรับศึกษาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดคือ การแสดงออกเหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ เพราะสัตว์ไม่มีดนตรี ไม่มีความงามทางศิลป์ ฯลฯ

นอกจากนี้แล้วมนุษย์ยังแตกต่างจากสัตว์ตรงคำว่า การดำรงอยู่” (Exist) และ การดำรงชีวิต” (Live) มนุษย์เราไม่ต้องการเพียงแต่เพื่อดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มนุษย์เรายังมีความต้องการสิ่งอื่น ๆ เช่น อยากรวยมากขึ้น อยากมีรถหรู ๆ ขับ อยากมีบ้านสวย ๆ อยู่ อยากมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามสัตว์ไม่ได้มีความต้องการอยากจะได้เช่นเดียวกับมนุษย์


ประเภทของเครื่องดนตรี
ดนตรีมีอยู่หลายลักษณะ  ที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ เป็นประเภทของดนตรีที่ควรแก่การสนใจ   เพราะจัดว่าเป็นดนตรีที่มีรูปแบบเป็นของตนเองและมีมานานควรแก่การศึกษาและฟังอย่างยิ่ง  ดนตรีพื้นบ้าน  อันได้แก่ และดนตรีศิลปะ
ดนตรีพื้นบ้าน (Folk Music)
ลักษณะของดนตรีพื้นบ้าน คือ   ดนตรีทีมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมในกลุ่มสังคมทุกกลุ่มทั่วโลก   เพลงพื้นบ้านมักจะเป็นเพลงที่มีการร้องประกอบกันส่วนมาก จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงพื้นบ้าน   หรือ Folk song โดยปกติดนตรีพื้นบ้านมักจะมีลักษณะดังนี้
1. บทเพลงต่างๆ ตลอดตนวิธีเล่น วิธีร้อง มักจะได้รับการถ่ายทอดโดยการสั่งสอนกันต่อๆมาด้วยวาจา และการเล่นหรือการร้องให้ฟัง การบันทึกเป็นโน้ตเพลงไม่ใช่ลักษณะดั้งเดิมของดนตรีพื้นบ้าน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีการถ่ายทอดดนตรีพื้นบ้านโดยการใช้โน้ตดนตรีกันบ้างแล้ว   ตัวอย่างเพลงพื้นบ้านของไทยที่ถ่ายทอดกันมา เช่น เพลงเรือ เพลงลำตัด   จะเห็นได้ว่าเพลงเหล่านี้มีการร้องเล่นกันมาแต่โบราณไม่มีการบันทึกเป็นตัวโน้ตและสอนกันให้ร้องจากตัวโน้ตแต่อย่างใด
2. เพลงพื้นบ้านมักเป็นบทเพลงที่ใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ มิใช่แต่ขึ้นมาเพื่อให้ฟังเฉยๆ หรือเพื่อให้รู้สึกถึงศิลปะของดนตรีเป็นสำคัญ   จะเห็นได้ว่า   เพลงกล่อมเด็กมีขึ้นมาเพราะต้องการใช้ร้องกล่อมเด็กให้นอน    เพลงเกี่ยวข้าวใช้ร้องเล่นในเทศกาลเกี่ยวข้าว เนื่องจากเสร็จภารกิจสำคัญแล้ว    ชาวนาจึงต้องการเล่นสนุกสนานกัน    หรือเพลงเรือใช้ประกอบการเล่นเรือหน้าน้ำหลาก   เป็นต้น
3. รูปแบบของเพลงพื้นบ้านไม่ซับซ้อน   มักมีทำนองหลัก 2-3 ทำนองร้องเล่นกันไป    โดยการเปลี่ยนเนื้อร้อง     จังหวะประกอบเพลงมักจะซ้ำซากไปเรื่อยๆ อาจจะกล่าวได้ว่า   ดนตรีหรือเพลงพื้นบ้านเน้นที่เนื้อร้อง    หรือการละเล่นประกอบดนตรี เช่น การฟ้อนรำหรือการเต้นรำ
4. ลักษณะของทำนองและจังหวะเป็นไปตามลักษณะของกิจกรรม   หรือการละเล่น   เช่น เพลงกล่อมเด็กจะมีทำนองเย็นๆเรื่อยๆ จังหวะช้าๆ เพราะจุดมุ่งหมายของเพลงกล่อมเด็กต้องการให้เด็กผ่อนคลายและหลับกันในที่สุด     ตรงกันข้างกับเพลงรำวงจะมีทำนองและจังหวะสนุกสนานเร็วเร้าใจเพราะต้องการให้ทุกคนออกมารายรำเพื่อความครึกครื้น
5. ลีลาการร้องเพลงพื้นบ้านมักเป็นไปตามธรรมชาติ    การร้องมิได้เน้นในด้านคุณภาพของเสียงสักเท่าใด     ลีลาการร้องไม่ได้ใช้เทคนิคเท่าใดนัก   โดยปกติเสียงที่ใช้ในการร้องเพลงพื้นบ้านไม่ว่าชาติใดภาษาใดมักจะเป็นเสียงที่ออกมาจากลำคอมิได้เป็นเสียงที่ออกมาจากท้องหรือศีรษะ ซึ่งเป็นลีลาการร้องเพลงของพวกเพลงศิลปะ
6. เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงพื้นบ้านมีลักษณะเฉพาะเป็นของท้องถิ่นนั้นๆ   เป็นส่วนใหญ่   ซึ่งสิ่งนี้เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ทำให้เราได้ทราบว่า   ดนตรีพื้นบ้านที่ได้ยินได้ชมเป็นดนตรีของท้องถิ่นใด หรือของชนเผ่าใด   ภาษาใด   ตัวอย่างเช่นดนตรีพื้นบ้านของชาวอีสานมักจะมีแคน     โปงลาง   ทางภาคเหนือจะมีซึง สะล้อ เป็นต้น
เพลงพื้นบ้านจะพบได้ในทุกประเทศทั่วโลก   เป็นเพลงที่มีผู้ศึกษาเก็บรวบรวมไว้    เนื่องจากเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของชาติ   เช่น  ประเทศ ฮังการี   นักดนตรีศึกษา   คือ โคดายและบาร์ต๊อค   ได้รวบรวมเพลงพื้นบ้านของชาวฮังการีเอาไว้    และนำมาใช้สอนอนุชนรุ่นหลัง    นอกจากนี้ยังมีผู้ประพันธ์เพลงหลายคนนำเอาทำนองเพลงพื้นเมืองมาทำเป็นทำนองหลักของเพลงที่ตนประพันธ์   เช่น  บาร์ต๊อก, ดโวชาค
ดนตรีศิลปะ (Art Music)
ดนตรีศิลปะ  ได้แก่ดนตรีที่ประพันธ์ขึ้นอย่างตั้งใจ   โดยผู้ประพันธ์เพลงศึกษาดนตรีมาอย่างมีระเบียบแบบแผน    ดนตรีประเภทนี้มีการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้เห็นถึงความสวยงามของศิลปะดนตรีซึ่งเป็นโสตศิลป์   ดนตรีศิลปะสามารถจำแนกได้ ประเภทดังนี้   ดนตรีตะวันตก (Western Music) ทีรู้จักกันในนามของดนตรีคลาสสิก (Classical music)   และดนตรีประจำชาติ (Traditional music)
ดนตรีตะวันตก ( Western Music)
เนื้อหาของดนตรีที่จะกล่าวถึงนี้ ได้แก่  ดนตรีตะวันตก  หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ดนตรีคลาสสิก   ดนตรีประเภทนี้มีพัฒนาการมาเป็นเวลาช้านานจนมีรูปแบบแน่นอน   มีทฤษฎีที่สามารถเรียนรู้กันได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนถึงระดับปริญญาเอก   ในด้านการเล่นดนตรี   ผู้ศึกษาต้องเอาจริงเอาจัง    และมีการศึกษาถึงระดับปริญญาเอกได้เช่นกัน   ดนตรีประเภทนี้มีความละเอียดอ่อน    และต้องการความรู้ความเข้าใจอันที่จะเข้าถึงซาบซึ้ง   ทั้งนี้เนื่องจากผู้สร้างสรรค์ดนตรีหรือผู้ประพันธ์เพลง (Composer)  มีหลักเกณฑ์   ในการประพันธ์   ผลงานที่ออกมาจึงมีลักษณะซับซ้อน ลึกซึ้ง    ซึ่งผู้ที่มิได้ศึกษา   หรือมีพื้นฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบดนตรีพอเพียง   อาจไม่รู้สึกถึงความไพเราะเมื่อได้ฟังดนตรีประเภทนี้แต่อย่างใด
ลักษณะเด่นๆ ของดนตรีตะวันตกที่พอจะกล่าวได้อย่างสั้นๆ  คือดนตรีที่มีลักษณะตรงข้ามกับดนตรีพื้นเมืองนั่นเอง    กล่าวคือ  เป็นดนตรีที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อศิลปะ   มีรูปแบบที่สลับซับซ้อนไม่ว่าจะเป็นทำนอง   จังหวะ  และยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่อาจไม่พบในดนตรีพื้นเมือง   เช่น  การประสานเสียง   เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงเพลงประเภทนี้เป็นเครื่องดนตรีทีได้มาตรฐาน    และต้องการนักดนตรีที่มีทักษะในการบรรเลง    เพราะบทประพันธ์แต่ละชิ้นมีเนื้อหาที่ต้องการเทคนิควิธีในการบรรเลงเสมอ  รวมทั้งการร้องด้วย    นักร้องเพลงประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันนามว่า  นักร้องโอเปรา    นักร้องเหล่านี้ต้องมีเทคนิควิธีร้องมากมาย    และต้องศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่ง   จึงสามารถออกโรงแสดงได้
นอกจากดนตรีประเภทนี้ยังมีการพัฒนารูปแบบมาโดยตลอด     จึงเป็นการแบ่งยุคดนตรีต่างกัน    ซึ่งกล่าวจะโดยสรุปไว้ใน เพลงในแต่ละยุคมีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยจะต่างจากยุคอื่นๆ ดังนั้น การฟังเพลงประเภทหัวข้อ  ยุคสมัยของดนตรีตะวันตก”    นี้เมื่อมีความรู้ความเข้าใจพอเพียง    ผู้ฟังสามารถบอกได้ว่าเป็นเพลงยุคใด   และอาจจะบอกต่อไปด้วยว่าใครเป็นผู้ประพันธ์   ทั้งนี้ผู้ประพันธ์แต่ละคนมีลีลาการประพันธ์เป็นของตนเองด้วยเช่นกัน
กล่าวได้ว่าการศึกษาดนตรีเพื่อที่จะฟังเพลงประเภทนี้ให้ซาบซึ้งนั้นเป็นสิ่งจำเป็น   เนื่องจากเพลงประเภทนี้มีเนื้อหาที่ลึกซึ้ง   การฟังเพลงประเภทนี้โดยมิได้ศึกษาถึงประวัติองค์ประกอบต่างๆ และรายละเอียดเฉพาะของแต่ละบทเพลง    จะไม่ทำให้ผู้นั้นเกิดความซาบซึ้งในดนตรีประเภทนี้ได้อย่างแท้จริง    ในบทนี้เป็นการศึกษาเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ฟัง    ซึ่งผู้ที่สนใจและชอบเพลงประเภทนี้ควรจะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไป    เพื่อความเข้าใจและซาบซึ้งอย่างแท้จริง    การศึกษาในบทนี้ไม่สามารถช่วยให้เข้าใจเพลงประเภทนี้ได้ลึกซึ้งถึงแก่น   เนื่องจากกล่าวถึงเนื้อหาดนตรีประเภทนี้ในระดับพื้นฐานเท่านั้น   เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการเสนอแนะเนื้อหาดนตรีและการฟังให้ผู้อ่าน    การศึกษาหาความรู้  และฟังเพลงประเภทนี้ในโอกาสต่อไปจึงเป็นสิ่งที่ผู้อ่านควรเพื่อปฏิบัติเพื่อความเข้าใจและความซาบซึ้งในดนตรีอย่างแท้จริง
ดนตรีประจำชาติ ( Traditional music)
ดนตรีอีกประเภทหนึ่งซึ่งจัดเป็นดนตรีศิลปะเช่นกัน  คือ  ดนตรีประจำชาติต่างๆเช่น  ดนตรีไทย  เมกาลัน (Gamelan) ของอินโดนีเซียเป็นต้น   ดนตรีประเภทนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีต   มีแบบแผนเป็นของตนเอง    ซึ่งต่างไปจากดนตรีพื้นบ้าน    ดนตรีประจำชาติต่างๆ มักจะได้รับการพัฒนา   เปลี่ยนรูปแบบไปบ้างเนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป    แต่ลักษณะทั่วไปยังคงเหมือนเดิม    ซึ่งต่างไปจากดนตรีตะวันตกที่มีการพัฒนาเปลี่ยนรูปแบบ    เปลี่ยนแนวการประพันธ์ไปตลอดเวลา    ทำให้แบ่งเป็นยุคต่างๆได้ดังกล่าวมาแล้ว
ดนตรีประจำชาติต่างๆมีลักษณะเป็นของตนเอง     ซึ่งเมื่อฟังแล้วผู้ฟังจะบอกได้ว่า   เป็นดนตรีของชาติใด    ทั้งนี้เนื่องจากระบบเสียงที่ใช้   ลีลาการบรรเลง    และการร้องมีลักษณะเฉพาะและที่สำคัญคือ   เครื่องดนตรีที่มีลักษณะ    และเสียงแตกต่างกันออกไป เช่น เครื่องดนตรีไทยที่ใช้ในวงปี่พาทย์ คือ ระนาด   ปี่  กลอง  ฉิ่ง  ฉาบ เป็นต้น  ซึ่งทำให้ต่างไปจากเครื่องดนตรีของพวกอินเดียที่มีพวกพิณ ต่างๆ เป็นต้น   ดนตรีประจำชาติที่มีอิทธิพลต่อดนตรีตะวันตกคือ   ดนตรีของชาวตะวันออกกลาง   พวกมุสลิม   ระบบเสียงที่ดนตรีตะวันตกเรียกว่า  ไมเนอร์   นั้น ได้รับรูปแบบไปจากดนตรีของชาวมุสลิม    ซึ่งต่างไปจากระบบเสียงเมเจอร์    ซึ่งเป็นระบบเสียงของชาวตะวันตก    นอกจากนี้เครื่องดนตรีบางชนิดที่ดนตรีตะวันตกใช้บรรเลงอยู่ก็มีวิวัฒนาการมาจากเครื่องดนตรีของชาวมุสลิม   เช่น  ไวโอลิน  เป็นต้น



การศึกษาดนตรีประจำชาติ   และดนตรีพื้นบ้านเป็นที่สนใจของนักการศึกษาดนตรีตะวันตกเป็นอย่างมากและเพิ่มขึ้นทุกที     การศึกษาแขนงนี้มีชื่อว่า   ดนตรีเผ่าพันธุ์วิทยา(Ethno-musicology)   การศึกษารูปแบบของดนตรีประจำชาติต่างๆ ทำให้นักประพันธ์เพลงตะวันตกนำเอารูปแบบเหล่านี้ไหใช้ในการประพันธ์เพลงอยู่เหมือนกัน
การศึกษาดนตรีประจำชาติต่างๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ   ผู้ศึกษาจะได้รับความรู้แปลกใหม่ด้านเนื้อหาดนตรี  แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์หลักทฤษฎีของดนตรีแต่ละชาติแตกต่างกันไป    การศึกษาจึงมีความยากลำบากอยู่เหมือนกัน    อย่างไรก็ตามในฐานะที่เราเป็นคนไทย    อย่างน้อยที่สุดก็ควรที่จะได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับดนตรีไทย   ซึ่งจัดว่าเป็นวัฒนธรรมอันสูงค่าอย่างหนึ่งที่บรรพบุรุษของเราสร้างสรรค์ขึ้นมา  เพื่อความซาบซึ้งในดนตรีไทย   และช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป

ดนตรี Music
        ดนตรีเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาพร้อมๆกับชีวิตมนุษย์โดยที่มนุษย์เองไม่รู้ตัว ดนตรเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีความสุขสนุกสนานรื่นเริงช่วย ผ่อนคลายความเครียด ทั้งทางตรงและทางอ้อม
        ดนตรีเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจของมนุษย์ให้มีความเบิกบานหรรษาให้ เกิดความสงบ กล่าวคือในการดำรงชีพของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายดนตรีมี ความเกี่ยวข้อง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อาจสืบเนื่องมาจากความบันเทิง ในรูปแบบต่างๆ โดยตรงหรืออาจเกิด จากขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงประกอบในการทำงาน เพลงที่เกี่ยวข้องในงานพิธีการ เพลงสวดถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น


การสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณมา
นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ได้เรื่องราว  สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆพึ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค  Middle   age    คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6  และการบันทึกมีเพียงเครื่องหมายแสดงเพียงระดับของเสียง และจังหวะดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆกับมนุษย์เรานั่นเอง
ในยุคแรกๆมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าดง  ในถ้ำ   ในโพรงไม้  แต่ก็รู้จักการร้องรำทำเพลงตามธรรมชาติ   เช่นรู้จักปรบมือ  เคาะหิน เคาะไม้  เป่าปาก  เป่าเขา  และเปล่งเสียงร้องตามเรื่อง การร้องรำทำเพลงไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้าเพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย  บันดาลความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่างๆให้แก่ตน  หรือเป็นการบูชาแสดงความขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนมีความสุขความสบายโลกได้ผ่านหลายยุคหลายสมัย
ดนตรีได้วิวัฒนาการไปตามความเจริญและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เครื่องดนตรีที่เคยใช้ในสมัยเริ่มแรกก็มีการวิวัฒนาการมาเป็นขั้นๆ กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เพลงที่ร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้าก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนา และเพลงร้องโดยทั่วๆไป       ในระยะแรก  ดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า  Melody   ไม่มีการประสานเสียงจนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราเริ่มรู้จัการใช้เสียงต่างๆมาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา

ยุคต่างๆของดนตรี

นักปราชญ์ทางดนตรีได้แบ่งดนตรีออกเป็นยุคต่างๆดังนี้
1.Polyphonic  Perio(
ค.ศ. 1200-1650 )  ยุคนี้เป็นยุคแรก  วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ 
จนมีแบบฉบับและหลักวิชการดนตรีขึ้น  วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์   
ตามบ้านเจ้านาย  และมีโรงเรียนสอนดนตรี

2.Baroque  Period 
( ค.ศ. 1650-1750 )  ยุคนี้วิชาดนตรีได้เป็นปึกแผ่น 
มีแบบแผนการเจริญด้านนาฏดุริยางค์    มีมากขึ้น 
มีโรงเรียนสอนเกี่ยวกับอุปรากร  ( โอเปร่า)  เกิดขึ้น 
มีนักดนตรีเอกของโลก 2 ท่านคือ  J.S. Bach   และ    G.H.   Handen

3.Classical  Period ( ค.ศ. 1750-1820 )  ยุคนี้เป็นยุคที่ดนตรีเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ 
มีความรุ่งเรืองมากขึ้น  มีนักดนตรีเอก 3 ท่านคือ  HaydnGluck และMozart

4.Romantic Period  ( ค.ศ. 1820-1900 )  ยุคนี้มีการใช้เสียงดนตรีที่เน้นถึงอารมณ์อย่างเด่นชัดเป็นยุคที่ดนตรีเจริญถึงขีดสุด
เรียกว่ายุคทองของดนตรี นักดนตรีเช่น Beetoven และคนอื่นอีกมากมาย

5.Modern  Period  ( ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน ) เป็นยุคที่ดนตรีเปลี่ยนแปลงไปมาก  ดนตรีประเภทแจ๊ส (Jazz) กลับมามีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน
       ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติ  ศาสนา  โดยเฉพาะทางดนตรีตะวันตก  นับว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศาสนามาก     บทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาหรือเรียกว่าเพลงวัดนั้น ได้แต่งขึ้นอย่างถูกหลักเกณฑ์    ตามหลักวิชาการดนตรี ผู้แต่งเพลงวัดต้องมีความรู้ความสามารถสูง เพราะต้องแต่งขึ้นให้สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้นิยมเลื่อมใสในศาสนามากขึ้น ดังนั้นบทเพลงสวดในศาสนาคริสต์จึงมีเสียงดนตรีประโคมประกอบการสวดมนต์  เมื่อมีบทเพลงเกี่ยวกับศาสนามากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันการลืมจึงได้มีผู้ประดิษฐ์สัญลักษณ์ต่างๆแทนทำนอง เมื่อประมาณ ค.ศ.  1000  สัญลักษณ์ดังกล่าวคือ  ตัวโน้ตนั่นเอง 
โน้ตเพลงที่ใช้ในหลักวิชาดนตรีเบื้องต้นเป็นเสียงโด  เร  มี นั้น เป็นคำสวดในภาษาละติน  จึงกล่าวได้ว่าวิชาดนตรีมีจุดกำเนิดมาจากวัดหรือศาสนา ซึ่งในยุโรปนั้นถือว่าเพลงเกี่ยวกับศาสนานั้นเป็นเพลงชั้นสูงสุด
     วงดนตรีที่เกิดขึ้นในศตวรรษต้นๆจนถึงปัจจุบัน  จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงก็มีจำนวนและชนิดแตกต่างกันตามสมัยนิยม ลักษณะการผสมวงจะแตกต่างกันไป  เมื่อผสมวงด้วยเครื่องดนตรีที่ต่างชนิดกัน หรือจำนวนของผู้บรรเลงที่ต่างกันก็จะมีชื่อเรียกวงดนตรีต่างกัน
ประเภทของเพลงดนตรี

 เพลงประเภทต่างๆ  แบ่งตามลักษณะของวงดนตรีได้  6  ประเภท  ดังนี้     

1. เพลงที่บรรเลงโดยวงออร์เคสตร้า  ( Orchestra )   มีดังนี้
- ซิมโฟนี่ (Symphony) หมายถึงการบรรเลงเพลงโซนาตา ( Sonata) ทั้งวง 
คำว่าSonata  หมายถึง  เพลงเดี่ยวของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ 
เช่นเพลงของไวโอลิน  เรียกว่า  Violin  Sonata 
เครื่องดนตรีชนิดอื่นๆก็เช่นเดียวกัน  
การนำเอาเพลงโซนาตาของเครื่องดนตรีหลายๆชนิดมาบรรเลงพร้อมกันเรียกว่า 
ซิมโฟนี่

       - คอนเซอร์โต  ( Concerto) 
คือเพลงผสมระหว่างโซนาตากับซิมโฟนี่  แทนที่จะมีเพลงเดี่ยวแต่อย่างเดียว 
หรือบรรเลงพร้อมๆกันไปในขณะเดียวกัน  เครื่องดนตรีที่แสดงการเดี่ยวนั้น  
ส่วนมากใช้ไวโอลินหรือเปียโน

       - เพลงเบ็ดเตล็ด  เป็นเพลงที่แต่งขึ้นบรรเลงเบ็ดเตล็ดไม่มีเนื้อร้อง

2. เพลงที่บรรเลงโดยวงแชมเบอร์มิวสิค 
( Chamber  Music )  เป็นเพลงสั้นๆ 
ต้องการแสดงลวดลายของการบรรเลงและการประสานเสียง 
ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย  คือไวโอลิน วิโอลา และเชลโล

3. สำหรับเดี่ยว  เพลงประเภทนี้แต่งขึ้นสำหรับเครื่องดนตรีชิ้นเดียวเรียกว่า
   เพลง โซนาตา

4. โอราทอริโอ  ( Oratorio )  และแคนตาตา ( Cantata)  เป็นเพลงสำหรับศาสนาใช้ร้องในโบสถ์  จัดเป็นโอเปรา แบบหนึ่ง  แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา

5. โอเปรา (Opera  )  หมายถึงเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงละครที่มีการร้องโต้ตอบกันตลอดเรื่อง   เพลงประเภทนี้ใช้ในวงดนตรีวงใหญ่บรรเลงประกอบ
คติเกี่ยวกับดนตรี

ชนใดไม่มีดนตรีกาล
ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ
เขานั้นเหมาะคิดกบฎอัปลักษณ์
ฤาอุบายเล่ห์ร้ายขมังนัก
มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี
อีกดวงใจย่อมดำสกปรก
ราวนรกเช่นกล่าวมานี่
ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ 
เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ....


ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับดนตรี

ดนตรีเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้น และได้เป็นเพื่อนทางจิตใจของมนุษย์มาช้านานแล้วคำถามที่ว่าศิลปะแขนงนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ แต่ว่าอาศัยหลักฐานและข้ออิงทางมานุษยวิทยา(anthropology) แล้วก็จะกล่าวได้ว่า ดนตรีเริ่มมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์นานนักหนาแล้ว มีหลักฐานว่าอารยธรรมของดนตรีในซีกโลกตะวันออกนั้น เกิดขึ้นมาก่อนดนตรีในซีกโลกตะวันตก ประมาณ 2,000 ปี สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดนตรีขึ้นครั้งแรกคือ "ความหวาดกลัว" ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าการเกิดกลางวันหรือกลางคืน การผลัดเปลี่ยนของฤดูกาล ฟ้าแลบฟ้าร้อง ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความประหวั่นพรันพรึงและความกังวลใจให้แก่มนุษย์ในยุคนั้นเป็นอันมาก พวกเขามีความเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านี้มีทั้งพระเจ้าที่ดีและร้ายอยู่ในตัว ไม่เพียงแต่เท่านี้มนุษย์ยังมีความเชื่อว่าความงอกงามของพืชพันธุ์ธัญชาติ การพ้นภยันตรายจากสัตว์ร้าย การฟื้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ ก็ล้วนเป็นความกรุณาปรานีที่ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น ฉะนั้น การที่จะเอาใจและตอบแทนบุญคุณพระเจ้าต่างๆก็จะทำได้โดยการบวงสรวง การเต้น การร้อง และการแสดงสิ่งที่เขาปรารถนาจะให้เกิดขึ้น
 
สิ่งที่ทำให้เกิดดนตรีขึ้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ความสบายอกสบายใจ" นักปราชญ์ได้สันนิษฐานว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่ออกไปล่าสัตว์ ขณะทีเรารอดักสัตว์อย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น เขขาอาจจะเอาคันธนูหรือหน้าไม้มาลองดีดสายดู เมื่อเขาสามารถดีดให้เกิดเสียงสูงต่ำบ้าง เขาก็เกิดความพอใจ และคันธนูก็ได้เป็นต้นกำเนิดของพิณขึ้นในเวลาต่อมา ส่วนปี่และขลุ่ยเกิดขึ้นมาอย่างไรนั้น นักปราชญ์ก็ได้สันนิษฐานว่าพวกเด็กเลี้ยงแกะ เด็กเลี้ยงวัว เมื่อนำฝูงสัตว์ของตนออกไปเลี้ยงตามท้องทุ่งก็อาจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายแลกงอยเหงา การที่จะแก้อาการเหล่านี้ เขาอาจจะไปตัดปล้องไม้หรือเก็บเอากระดูกสัตว์มาถือจับเล่นก่อน เผอิญปล้องไม้หรือกระดูกสัตว์นั้นเกิดมีรู และเผอิญอีกเช่นกันที่เขาเอามันมาลองเป่าดู ครั้นเกิดเป็นเสียงเขาก็คงจะทึ่งจะกับมันมาก และพยายามปรับปรุงสิ่งเหล่านั้นจนกลายเป็นเพื่อนแก้เหงาได้ สำหรับกลองนั้น นักปราชญ์ให้ความเห็นว่า มนุษย์ในยุคนั้นคงลองเอาขนสัตว์ขึงบนหินที่กลวงหรือไม่ก็บนต้นไม้กลวง เมื่อเอาลองมือและไม้ตีบนหนังที่ขึงตึงนั้นก็จะเกิดเสียงดังขึ้น และนี่คือต้นกำเนิดกลองใบแรกของโลก ท่านทั้งหลายคงจะเคยเห็นรูปร่างและเคยฟังเสียงของเครื่องดนตรีบางชนิดของวงดุริยางค์ในปัจจุบันมาแล้ว เป็นต้นว่า พิณฮาร์พ ขลุ่ยฟลูท กลองทิมปานี เครื่องดนตรีเหล่านี้ได้มีวิวัฒนาการเป็นขั้นๆ ต่อเนื่องกันมานานนักหนาแล้วจากสิ่งที่คนในยุค ก่อนประวัติศาสตร์ได้ก่อกำเนิดมันขึ้นตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
เพลงศาสนาหรือดนตรีทางศาสนานี้เองที่มีส่วนสำคัญ ทำให้ศาสนารุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสต์ศาสนา ประจักษ์พยานที่ทำให้เรานึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้คือ วิวัฒนาการของดนตรีคริสต์ศาสนาตั้งแต่มัธยมสมัยของยุโรปมาจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งนับเป็นช่วงเวลานานร่วม 7 ศตวรรษ อนึ่งคำว่า "ดนตรีศาสนา" นี้ตรงกับคำในภาษาอังกฤษที่ว่า church music หรือ sacred music คำในภาษาอังกฤษทั้งสองนี้ได้ใช้กันมาอย่างกว้างขวางทัดเทียมกัน
ดังได้กล่าวแล้วว่า Sacred music คือ ดนตรีศาสนา ที่ตรงกันข้ามกับคำนี้คือ secular music คำว่า secular music ก็คือดนตรีที่ให้ความรื่นเริงทางโลกหรือให้ความบันเทิงใจกับปุถุชน ถ้าจะพูดให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ก็จะพูดว่า secred music คือ  และ secular music คือ "ดนตรีบ้าน"ทั้งนี้เพราะ secred music มักขับร้องแลบรรเลงกันในวัด ส่วน secular music ส่วนมากจะปฏิบัติและฟังกันตามบ้าน ซึ่งนับตั้งแต่พระราชวังลงไปจนถึงทับของคนยากคนจน
ในขณะที่ดนตรีศาสนากำลังเจริญเฟื่องฟูอยู่นั้น ดนตรีที่ให้ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่นั้น ดนตรีที่ให้ความรื่นเริงบันเทิงใจก็ได้ก้าวรุดหน้าไปไม่น้อย ผู้คนได้นำเอาดนตรีมาใช้ในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น เช่น ใช้ประกอบการงานที่ใช้อยู่ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เพลงประเภทนี้เรียกว่า "เพลงขับร้องระหว่างการทำงาน" (work song) ซึ่งได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเก็บฝักข้าวโพด เพลงปั่นฝ้าย เพลงคนตัดต้นไม้ เป็นต้น
เพลงที่ให้ความรื่นเริงบันเทิงใจแก่คนทั่ว ๆ ไปนอกจากเพลงขับร้องระหว่างการทำงานแล้ว ก็ยังมีเพลงประกอบการเล่น เพลงประกอบระบำ เพลงรัก เพลงกล่อมเด็ก เพลงเทศกาลและเพลงอื่น ๆ อีกมากมาย
ประโยชน์ของ เสียงดนตรี
นอกจากคนเรามี ความต้องการ อาหาร เพื่อให้สามารถ ดำรงชีวิตอยู่ได้ แล้วมนุษย์ยัง มีความต้องการ อาหารอีก แบบหนึ่งซึ่งก็คือ อาหารทางใจ อาหารทางตา อาหารทางหู และอาหารทางสมองอีกด้วย ซึ่งอาหารประเภทหลังนี้ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ เกิดความบันเทิง อีกทั้งยังสามารถ ขัดเกลา ให้มนุษย์มีจิตใจที่ดีงาม ได้อีกด้วย ซึ่งอาหารที่ว่านี้ก็คือ ศิลปะการขับร้อง การเล่นดนตรี นั่นเอง
วงดนตรีไทย
 มีประโยชน์มากมาย อาทิเช่น ช่วยให้ ผ่อนคลาย ทำให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ เนื่องจาก ในการเล่นดนตรี ต้องมีการเล่นกันหลายๆ คน ทั้งนักร้อง นักดนตรี ต้องมีสมาธิและ ที่สำคัญต้องมีความสามัคคีกัน เพื่อให้เกิดการ สร้างงานที่มีคุณภาพ นอกจากดนตรีจะช่วยสร้าง ความสามัคคีแล้วยัง ช่วยให้มนุษย์ มีวัฒนธรรม ซึ่งก็คือ คนที่แต่งเนื้อร้อง หรือนักประพันธ์เพลงต้องยึดหลักเกณฑ์ ที่มีระเบียบวินัย และคำสอนต่างๆ สอดแทรกลงใน เนื้อหาของเพลง เพื่อให้คนฟังได้คิดตาม และยึดเป็นหลัก ในการคิดทำสิ่งที่ดีงาม ต่อไป
ปัจจุบันมีนักร้อง นักดนตรี มากมาหลายภาษา และถ้าเรามีการชื่นชอบบทเพลง ซึ่งบางครั้งก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ชอบจังหวะ ของบทเพลงก็จะทำให้ เราได้มีการฝึกฝน และหัดร้อง จนสามารถที่จะเรียนรู้ถึง เนื้อหาของเพลงได้ จึงเป็นการ ฝึกภาษา ไปอย่างอัตโนมัติ
 
 

ประโยชน์ของดนตรีต่อสังคมมนุษย์

1. ด้านการศึกษา นำเสียงดนตรีมาใช้ประกอบในการสอนแบบสร้างสรรค์ทางศิลปะผลปรากฏว่าเสียงดนตรีสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ เสริมสร้างความคิด จินตนาการ ช่วยกระตุ้นให้มีการแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประสาทหู กล้ามเนื้อมือ ให้สอดคล้องกับการใช้ความคิด ทำให้หายเหนื่อย และผ่อนคลายความตึงเครียด
 
หลักการดังกล่าวนี้มีใช้มาตั้งแต่สมัยกรีก ในยุคเฮเลนิสติค(Hellinistic Period 440-330 B.C) ชนชาติกรีกได้พัฒนาหลักการของ อีธอส (Doctrine of ethos) ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องของพลังแห่งสัจธรรมของดนตรี โดยกล่าวไว้ว่าพลังของดนตรีมีผลเกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกถึงความชื่นชอบหรือความขัดแย้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ดนตรีเกี่ยวข้องกับความดีและความชั่วร้าย ในหนังสือ Poetics นั้น อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายว่าดนตรีมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์ เขากล่าวว่าดนตรีเลียนแบบอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์ ฉะนั้นเมื่อมนุษย์ได้ยินดนตรีซึ่งเลียนแบบอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ก็จะเกิดมีความรู้สึกคล้อยตามไป ถ้าได้ยินดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้จิตใจต่ำบ่อย ๆ เข้าก็ทำให้เขาพลอยมีจิตใจต่ำไปด้วย ตรงกันข้ามถ้ามีโอกาสได้ฟังดนตรีที่ช่วยยกระดับจิตใจ ก็จะทำให้ผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจสูง ดังนั้น เปลโตและอริสโตเติล จึงมีความคิดเห็นตรงกันในข้อที่ว่าหลักสูตรการศึกษาควรประกอบด้วยวิชากีฬาและดนตรีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ เปลโต สอนว่า “การเรียนดนตรีอย่างเดียวทำให้อ่อนแอและเป็นคนมีปัญหา การเรียนกีฬาอย่างเดียวทำให้เป็นคนที่อารมณ์ก้าวร้าวและไม่ฉลาด” ยิ่งกว่านั้นเปลโตยังได้กำหนดไว้ว่า “ดนตรีที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาไม่ควรมีลีลาที่ทำให้อารมณ์อ่อนไหว ควรใช้ทำนองที่มีลีลาดอเรียน(Dorian)และฟรีเจียน (Phrygian)”บันไดเสียงทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดอารมณ์กล้าหาญและสุภาพเรียบร้อย เปลโตยังเคยกล่าวไว้ว่า “จะให้ใครเป็นผู้เขียนกฎหมายก็แล้วแต่ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้แต่งเพลงประจำชาติก็แล้วกัน”
 

2.ด้านการแพทย์

ใช้เสียงดนตรีกระตุ้นทารกในครรภ์มารดา ผลปรากฏว่าเด็กมีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงเพลง ทั้งทางพฤติกรรมและร่างกายที่ดี เสียงเพลงที่นุ่มนวลจะทำให้เด็กมีอาการสงบเงียบ ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นและยังช่วยให้ระบบหายใจและระบบย่อยอาหารดีขึ้น
การนำเสียงดนตรีมาบำบัดรักษาผู้ป่วยปัญญาอ่อน โดยเฉพาะการใช้ดนตรีลดหรือบรรเทาความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดของผู้ป่วยใน 48 ชั่วโมงแรก ผลปรากฏว่าช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายภาวะทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ดังที่ผู้ใช้นามปากกาว่า คุณทองจีน บ้านแจ้ง เขียนไว้ในเรื่อง แกะสะเก็ดคลาสสิค ในหนังสือ ชาวกรุง ฉบับที่ 5 พ.ศ.2522 ว่า“หมอชาวกรีกโบราณท่านหนึ่งชื่อว่า แอสคลีปีอุส(Asclepius)ได้ใช้ดนตรีบรรเลงให้ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดแล้วฟัง ปรากฏว่าช่วยทุเลาอาการเจ็บปวดได้ดี”

 

3. ด้านสังคม

มีการใช้จังหวะดนตรีมากำหนดควบคุมการทำงาน เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียง เช่นการพายเรือ จังหวะยก-ส่งของ เป็นต้น การใช้ดนตรีปลุกเร้าอารมณ์ให้เกิดความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ เช่นเพลงปลุกใจ เพลงเชียร์ เป็นต้น
ใช้เสียงดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ให้ดูศักสิทธิ์ เคร่งขรึม น่าเชื่อถือ หรือสื่ออารมณ์ความรู้สึกที่ร่าเริง เบิกบาน สนุกสนาน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ งานฉลองต่างๆ เป็นต้น นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างงาน อาชีพ ให้กับบุคคลในสังคมอย่างมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น นักดนตรี นักร้อง ครูสอนดนตรี นักประพันธ์เพลง นักผลิตรายการคอนเสิร์ต นักดนตรีบำบัด ผู้อำนวยการเพลงหรือวาทยากรนักเขียนทางดนตรี นักประดิษฐ์เครื่องดนตรี และผู้ซ่อมหรือปรับเสียงเครื่องดนตรี เป็นต้น
 
ดนตรีปรับเปลี่ยนนิสัยก้าวร้าวของมนุษย์ รักษาโรคสมาธิสั้น โดยเฉพาะเด็กจะทำให้มีสมาธิยาวขึ้น อ่อนโยนขึ้น โดยใช้หลักทฤษฎีอีธอส (Ethos) ของดนตรี ซึ่งเชื่อว่าดนตรีมีอำนาจในการที่จะเปลี่ยนนิสัยของ มนุษย์ จนกระทั่งในบางกรณีสามารถรักษาโรคให้หายได้ ปัจจุบัน มีนักดนตรีบำบัดผู้ซึ่งมีความสามารถฟื้นฟูและบำบัดรักษาความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำงานในด้านนี้
 

5. ด้านกีฬา

ใช้ดนตรีประกอบกิจกรรมกีฬา เช่น ยิมนาสติกกิจกรรมเข้าจังหวะ การเต้นแอโรบิค เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมต่างๆมากมาย ที่ใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบในการดำเนินการทั้งทางตรงและทางอ้อม อาจกล่าวได้ว่าดนตรีเป็นส่วนประกอบที่ขาดเสียมิได้ในกิจกรรมของสังคมมนุษย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น